ประเภทงานพิมพ์ 3D (FDM)(SLA)

ประเภทงานพิมพ์ 3D (FDM)(SLA) เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตชิ้นงานต้นแบบ โมเดล และอาร์ตทอยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รู้หรือไม่ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีหลายประเภท ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ชิ้นงานของคุณออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
วันนี้เราจะมาเจาะลึกและเปรียบเทียบเทคโนโลยีการพิมพ์ 3D ยอดนิยม 2 ประเภท ได้แก่ FDM (Fused Deposition Modeling) และ SLA (Stereolithography) เพื่อให้คุณเข้าใจความแตกต่างและตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น

Resign & Filament 3D
งานพิมพ์เส้น และงานพิมพ์เรซิ่น
FDM SLA

SLA (Stereolithography)

SLA หรือ Stereolithography เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติที่เก่าแก่แต่มีความล้ำสมัยสูงกว่า โดยใช้กระบวนการที่ต่างออกไป คือใช้แสงเลเซอร์ฉายลงบนอ่างบรรจุของเหลว Photo-polymer Resin เพื่อให้เรซินแข็งตัวเป็นชั้นๆ จากด้านล่างขึ้นมา

ข้อดี:
ความละเอียดสูงสุด: สามารถพิมพ์ชิ้นงานที่มีรายละเอียดเล็กและซับซ้อนได้อย่างเหลือเชื่อ และมีผิวที่เรียบเนียนไร้รอยชั้น ด้วยความละเอียดชั้นพิมพ์ที่ต่ำถึง 0.025 มม. ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับโมเดล, หุ่นจำลอง, เครื่องประดับ หรือชิ้นงานที่ต้องการความละเอียดสูง
ผิวสำเร็จที่สมบูรณ์แบบ: เนื่องจาก SLA ใช้เรซินเหลว จึงไม่เกิดรอยเส้นบนชิ้นงาน ชิ้นงานที่ได้จึงดูเหมือนชิ้นส่วนที่ผลิตจากการหล่อขึ้นรูป มีผิวที่เรียบเนียนและสวยงาม เหมาะสำหรับโมเดลโชว์ หรือต้นแบบที่ต้องการความสมจริง
ความแม่นยำสูง: การพิมพ์ด้วย SLA มีความแม่นยำสูงมาก จึงเหมาะสำหรับงานวิศวกรรมที่ต้องการขนาดที่เที่ยงตรง

ข้อเสีย:
ต้นทุนสูงกว่า: ทั้งเครื่องพิมพ์และวัสดุเรซินเหลวมีราคาแพงกว่ามาก เรซิน SLA มีราคาประมาณ 1,500-2,500 บาท ต่อลิตร ทำให้ไม่เหมาะสำหรับงานที่ต้องพิมพ์จำนวนมากหรือมีขนาดใหญ่
วัสดุจำกัด: วัสดุส่วนใหญ่จำกัดอยู่แค่เรซินชนิดต่างๆ ซึ่งอาจมีความเปราะบาง ถึงแม้จะมีเรซินที่แข็งแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่เทียบเท่าพลาสติก ABS ของระบบ FDM
ขั้นตอนหลังการพิมพ์ซับซ้อน: ชิ้นงานที่พิมพ์ด้วย SLA จะมีความเหนียว ต้องนำไปล้างในแอลกอฮอล์เพื่อเอาเรซินส่วนเกินออก และต้องนำไปอบด้วยแสง UV เพื่อให้ชิ้นงานแข็งตัวเต็มที่

FDM (Fused Deposition Modeling)

FDM หรือ Fused Deposition Modeling เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากต้นทุนต่ำและใช้งานง่าย กระบวนการทำงานคือหัวพิมพ์จะหลอมเส้นพลาสติก เช่น PLA (Polylactic Acid) หรือ ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) จากนั้นค่อยๆ ฉีดออกมาเป็นชั้นๆ ซ้อนกันจนเกิดเป็นรูปร่างชิ้นงานที่ต้องการ

ข้อดี:
คุ้มค่าด้านราคา: ทั้งตัวเครื่องพิมพ์และวัสดุเส้นพลาสติกมีราคาที่ถูกกว่าระบบ SLA มาก เส้นพลาสติก PLA เพียง 1 กิโลกรัมอาจมีราคาเริ่มต้นเพียง 500 บาท ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นงานจำนวนมาก หรือสำหรับผู้เริ่มต้น
วัสดุหลากหลาย: มีวัสดุให้เลือกใช้มากมาย นอกจาก PLA และ ABS ยังมีเส้นพลาสติกพิเศษที่ผสมผงไม้ โลหะ หรือคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ FDM เหมาะสำหรับงานต้นแบบที่ต้องทดสอบการใช้งานจริง และต้องการคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกัน
ความทนทาน: ชิ้นงานที่พิมพ์ด้วย FDM โดยเฉพาะจากพลาสติก ABS มีความแข็งแรงและทนทานสูง เหมาะสำหรับทำชิ้นส่วนใช้งานจริง ตลอดจนชิ้นส่วนเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ

ข้อเสีย:
มองเห็นเป็นชั้น: กระบวนการพิมพ์แบบเป็นชั้นทำให้เกิด รอยเส้น บนพื้นผิวชิ้นงาน ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า นี่คือข้อจำกัดหลักสำหรับ ชิ้นงานที่ต้องการความสวยงาม ต้องมีการตกแต่งเพิ่มเติม เช่น การขัดผิวหรือการใช้สารเคมี (สำหรับพลาสติก ABS)
ความแม่นยำต่ำ: FDM มีความละเอียดของชั้นพิมพ์ที่กว้างกว่า (ปกติจะอยู่ที่ 0.1-0.3 มม.) ทำให้การพิมพ์ชิ้นงานที่ มีรายละเอียดซับซ้อนหรือขอบมุมที่คมชัดทำได้ยากกว่า
โครงสร้างค้ำยัน: จำเป็นต้องมีโครงสร้างค้ำยัน (Support) สำหรับส่วนที่ยื่นออกมา และการแกะโครงสร้างเหล่านี้อาจทิ้งรอยที่ไม่เรียบร้อยไว้บนชิ้นงานได้

Resin 3D
Filament3D
งานพิมพ์เรซิ่น
งานพิมพ์เส้นพลาสติก
SLA
FDM
ประเภทงานพิมพ์ 3D (FDM)(SLA)

เลือกแบบไหนดีสำหรับงานของคุณ?

เลือก FDM ถ้า… คุณต้องการทำชิ้นงานต้นแบบ หรือของตกแต่งที่ไม่เน้นความละเอียดมากนัก มีงบประมาณจำกัด และต้องการชิ้นงานที่แข็งแรงทนทาน เช่น ชิ้นส่วนอะไหล่, กล่องใส่ของ, ตัวอักษรขนาดใหญ่
เลือก SLA ถ้า… คุณต้องการงานที่เน้นความสวยงามสมจริง รายละเอียดเล็กๆ ที่คมชัด และยอมรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้ เช่น งานโมเดล, ฟิกเกอร์, อาร์ตทอย, งานแกะสลัก, หรือชิ้นงานศิลปะต่างๆ

เพิ่มเพื่อน

Scroll to Top